การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะช่วยสร้างรายได้แบบ Passive Income แล้ว ยังเป็นการเก็บรักษามูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้และเข้าใจคือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Yield) คืออะไร เพื่อให้สามารถประเมินความคุ้มค่าและวางแผนบริหารจัดการให้เกิดผลกำไรสูงสุดในระยะยาว พร้อมวิธีคำนวณและกลยุทธ์ปล่อยคอนโดเช่าให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดกัน ในบทความนี้เลย
Yield คืออะไร
Yield คืออัตราผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุนปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือก็คือ “ผลตอบแทนที่ได้รับจากค่าเช่า” ต่อปี คิดเป็นหน่วยเปอร์เซนต์ โดย Yield แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
Rental Yield
เครื่องมือที่ใช้คำนวณในการปล่อยเช่า เป็นรายได้ประเภทค่าเช่า สามารถแบ่งออกได้อีก 3 ประเภท Gross Rental Yield, Net Rental Yield และ Cash-on-Cash Rental Yield
Yield Guarantee
การการันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าของผู้ประกอบการ สำหรับคนที่สนใจและพึ่งเริ่มลงทุนอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงต้องการสร้าง Passive Income จากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรทำความเข้าใจพื้นฐานของเรื่อง Yield ให้ชัดเจน โดยเฉพาะการคำนวณเปอร์เซ็นต์ Rental Yield เพื่อให้ช่วยให้บริหารและการจัดการเรื่องลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
Gross Yield vs Net Yield ต่างกันอย่างไร
ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า นักลงทุนมักได้ยินคำว่า Yield หรืออัตราผลตอบแทน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความคุ้มค่าของการลงทุน อย่างที่เกริ่นไปเมื่อข้างต้นว่า โดยทั่วไปแล้ว Yield จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Gross Yield (อัตราผลตอบแทนเบื้องต้น) และ Net Yield (อัตราผลตอบแทนสุทธิ) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างสองคำนี้ คือค่าใช้จ่าย โดย Gross Yield จะเป็นการคำนวณผลตอบแทนแบบง่าย ๆ ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ออกไป ในขณะที่ Net Yield จะให้ภาพผลตอบแทนที่แท้จริงมากกว่า เพราะได้นำค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถือครองทรัพย์สินมาหักลบออกไปแล้ว
จับจุดสำคัญ! วิธีคำนวณ Yield ที่เข้าใจง่ายในไม่กี่ขั้นตอน

วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น (Gross Rental Yield)
อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น คำนวณได้ง่าย ใช้เพียงแค่ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปีและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมานำมาคำนวณตามสูตรด้านล่าง เพื่อหาผลลัพธ์ตอบแทนเบื้องต้น จากเงินทุนแบบเต็มจำนวนที่ลงทุนไปและคำนวนออกมาเป็นผลตอบแทนเบื้องต้นที่จะได้รับต่อปี
(ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปี ÷ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมา) x 100
ยกตัวอย่าง ซื้อคอนโดมาในราคา 10,000,000 บาท ปล่อยเช่าเดือนละ 48,000 บาท และคาดว่าผู้เช่าจะเช่าตลอดสัญญา 12 เดือน
ดังนั้น ค่าเช่าที่จะได้รับตลอดทั้งปีจะเท่ากับ 48,000 x 12 = 576,000 บาท
นำมาใช้ในสูตรก็จะเป็น อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า = (576,000 ÷ 10,000,000) x 100 = 5.76% ต่อปี

วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ (Net Rental Yield)
อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ เป็นการคำนวณที่นำเอาค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่าย เช่น ค่าส่วนกลางที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักทุกปี ค่าตกแต่งเสริมความสวยงาม ค่าบำรุงซ่อมแซมจากการใช้งาน เป็นต้น มาคิดคำนวณกับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาตามสูตรด้านล่าง เพื่อหาผลลัพธ์ตอบแทนสุทธิ จากเงินทุนแบบเต็มจำนวนที่ลงทุนไปและหักลบกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมก็จะได้ผลตอบแทนสุทธิที่จะได้รับต่อปี
(ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ* ÷ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมา) x 100
*ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปีสุทธิ = ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปี – ค่าใช้จ่ายรวมทั้งปี
ยกตัวอย่าง ซื้อคอนโดมาในราคา 10,000,000 บาท ปล่อยเช่าเดือนละ 48,000 บาท และคาดว่าผู้เช่าจะเช่าตลอดสัญญา 12 เดือน
ดังนั้น ค่าเช่าที่จะได้รับตลอดทั้งปีจะเท่ากับ 48,000 x 12 = 576,000 บาท
ค่าส่วนกลางที่จะต้องจ่ายตกเดือนละ 2,280 บาท รวมทั้งปีเป็น 2,280 x 12 = 27,360 บาท
นำมาคิดรวมกับ ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ = (576,000 – 27,360) = 548,640 บาท
นำมาใช้ในสูตรก็จะเป็น อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ = (548,640 ÷ 10,000,000) x 100 = 5.49% ต่อปี
วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าจากเงินสดในรอบปี (Cash on Cash Rental Yield)
ตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่คำนวณจาก “เงินสดที่ลงทุนจริง” เทียบกับ “กระแสเงินสดสุทธิที่ได้รับในแต่ละปี” ต่างจาก Yield ทั่วไปที่เทียบกับราคาทรัพย์ทั้งหมด ตัวนี้เน้นเฉพาะเงินที่เราจ่ายออกไปจริง ๆ เท่านั้น เช่น เงินดาวน์ ค่าตกแต่ง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่รวมเงินกู้ จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการวัดว่าผลตอบแทนคุ้มกับเงินสดที่ลงไปหรือไม่
(ค่าเช่าตลอดปี – ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมรายปี) ÷ เงินลงทุน x 100
ยกตัวอย่าง ซื้อคอนโดมาในราคา 10,000,000 บาท ปล่อยเช่าเดือนละ 48,000 บาท และคาดว่าผู้เช่าจะเช่าตลอดสัญญา 12 เดือน นำมาคิดรวมกับ ค่าเช่าตลอดปี = (48,000 x 12) = 576,000 บาท
มีค่าตกแตงและค่าเฟอร์นิเจอร์อีก 1,000,000 บาท
ค่าส่วนกลางที่จะต้องจ่ายตกเดือนละ 2,280 บาท รวมทั้งปีเป็น 2,280 x 12 = 27,360 บาท
นำมาคิดรวมกับ ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ = (576,000 – 27,360) = 548,640 บาท
นำมาใช้ในสูตรก็จะเป็น 548,640 ÷ 10,000,000 x 100 = 5.48%
ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อ % Yield
อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า (Rental Yield) ไม่ใช่ตัวเลขที่ตายตัว แต่มีความยืดหยุ่นและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อ % Yield สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
ปัจจัยด้านกายภาพของทรัพย์สิน (Property Factors)
- ทำเลที่ตั้ง คอนโดที่ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ เช่น คอนโดใกล้ BTS สายสีเขียว แหล่งงาน คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยหรือศูนย์การค้า จะสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่สูงกว่าปกติ และมีโอกาสปล่อยเช่าได้ไว
- ขนาดและการออกแบบ ห้องที่มีฟังก์ชันครบ ขนาดไม่เล็กเกินไปหรือมีวิวดี มักจะดึงดูดผู้เช่าได้มากกว่า
- สภาพทรัพย์และอุปกรณ์ภายใน ทรัพย์ที่ตกแต่งพร้อมอยู่ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบและอยู่ในสภาพดี จะมีความได้เปรียบในการตั้งราคาค่าเช่า
ปัจจัยด้านการตลาดและเศรษฐกิจ (Market & Economic Factors)
- ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต ความต้องการเช่าจะเพิ่มขึ้น ทำให้ตั้งค่าเช่าได้สูง
- อัตราดอกเบี้ย ดอกเบี้ยมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน หากดอกเบี้ยสูง นักลงทุนอาจต้องการผลตอบแทนจาก Yield ที่สูงขึ้นเช่นกัน
- การแข่งขันในตลาด หากมีซัพพลายมากในพื้นที่เดียวกัน อาจทำให้ผู้ปล่อยเช่าต้องลดราคาค่าเช่าเพื่อให้แข่งขันได้
- พฤติกรรมผู้บริโภค แนวโน้มการเช่ามักเปลี่ยนไปตามยุค เช่น คนรุ่นใหม่อาจนิยมเช่าระยะสั้นหรือเน้นทำเลเดินทางสะดวก
ปัจจัยด้านการเงินและค่าใช้จ่าย (Financial & Expense Factors)
- ราคาทรัพย์สิน ราคาซื้อมีผลต่อ % Yield โดยตรง หากซื้อมาในราคาถูก โอกาสที่ Yield จะสูงย่อมมีมากกว่า
- ค่าใช้จ่ายรายปี เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าซ่อมบำรุงหรือภาษี หากมีค่าใช้จ่ายสูงจะกด Yield ให้ต่ำลง
- ค่าใช้จ่ายในการตกแต่ง ค่าเฟอร์นิเจอร์ แม้จะเพิ่มมูลค่าได้ในบางกรณี แต่ถ้าใช้ต้นทุนสูงเกินไปก็อาจทำให้ระยะเวลาคืนทุนยาวขึ้น
กลยุทธ์เพิ่ม Yield ให้พุ่ง! ปล่อยเช่าอสังหาฯ ยังไงให้ได้ผลตอบแทนคุ้มสุด
หากคุณเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และต้องการเพิ่ม Yield คอนโดปล่อยเช่าให้คุ้มค่าสุด มีหลากหลายกลยุทธ์ที่สามารถช่วยให้คุณปล่อยเช่าได้ง่ายขึ้น แถมยังทำกำไรได้ดีในระยะยาว ดังนี้
- ตั้งราคาค่าเช่าให้เหมาะสมกับทำเลและกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาตลาดในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อดูราคาค่าเช่าที่แข่งขันได้ ไม่แพงจนเกินไปและไม่ต่ำจนขาดทุน พร้อมวิเคราะห์กลุ่มผู้เช่าว่าเป็นใคร เช่น นักศึกษา คนทำงาน หรือครอบครัว เพื่อปรับราคาหรือเงื่อนไขให้เหมาะสม
- ปรับปรุงและตกแต่งห้องให้น่าอยู่ ห้องที่ตกแต่งสวย สะอาดและพร้อมเข้าอยู่ มักจะปล่อยเช่าได้เร็วขึ้นและเรียกราคาได้สูงกว่า เช่น เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ให้ครบ หรือตกแต่งในสไตล์ที่ตลาดนิยม เช่น มินิมอลหรือโมเดิร์น เป็นต้น
- ใช้ภาพถ่ายและการตลาดที่ดึงดูด ลงประกาศพร้อมภาพถ่ายที่ชัดเจน มุมกว้าง แสงธรรมชาติดีและเขียนคำบรรยายที่โดนใจ เช่น วิวสวยใจกลางเมือง หรือใกล้ BTS เดินแค่ 3 นาที ก็จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้เช่าสนใจมากขึ้น
- เลือกปล่อยเช่าแบบระยะสั้นหรือระยะยาวให้เหมาะกับทำเล หากอยู่ในโซนนักท่องเที่ยวหรือแหล่งออฟฟิศ แต่ถ้าทำเลเน้นความสงบหรือเหมาะกับอยู่อาศัยระยะยาว อาจเน้นการหาผู้เช่าประจำเพื่อความมั่นคง
5 คอนโดทำเลไหนบ้างที่ Yield สูงในปี 2025 นี้?
1. The Hampton Suites Rayong

โครงการนี้ชูจุดเด่นด้านการเป็นคอนโดในรูปแบบ Investment Property ที่มีการบริหารจัดการโดยทีมงานมืออาชีพ เสมือนเป็น Service Residence มาตรฐานโรงแรม ทำเลที่ตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้มีความต้องการเช่าสูงจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ การลงทุนในอสังหาฯ ครั้งนี้สามารถให้ผลตอบแทน (Yield Guarantee) 5 – 9% หรือสูงสุดถึง 12%* นาน 10 ปี* เลยทีเดียว
สนใจเยี่ยมชมโครงการ The Hampton Suites Rayong ได้ที่นี่
2. So Origin Kata Phuket

ภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้ตลาดคอนโดปล่อยเช่าได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลหาดกะตะ – ป่าตอง ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว สำหรับ SO Origin Kata Phuket คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2027 ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ใกล้หาดกะตะเพียง 500 เมตร และแนวโน้มตลาดเช่าในภูเก็ตที่แข็งแกร่ง จึงมีการคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้าง Rental Yield ได้สูงถึง 11% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองเห็นโอกาสการเติบโตของเมืองท่องเที่ยวระดับโลก
สนใจเยี่ยมชมโครงการ SO Origin Kata Phuket ได้ที่นี่
3. So Origin Phahol 69 Station

คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว BTS สถานีสายหยุด Ready to Move บนทำเลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง อยู่ติดถนนพหลโยธิน เพียงแค่ 50 เมตร และสนามบินดอนเมือง ราคาพิเศษเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท* ทำให้สามารถคำนวณ Gross Rental Yield ได้ถึง 6% ต่อปี* ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดีสำหรับคอนโดในแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งมีความต้องการเช่าที่สม่ำเสมอ
สนใจเยี่ยมชมโครงการ So Origin Phahol 69 Station ได้ที่นี่
4. The Origin E22 Station

อีกหนึ่งโครงการในแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว สถานีสายลวด เจาะกลุ่มคนทำงานในย่านสมุทรปราการและผู้ที่ต้องการความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ Big C, Robin สมุทรปราการ รวมทั้งโรงพยาบาลและแหล่งงานชั้นนำ ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 1.69 ล้านบาท* Gross Rental Yield ถึง 6% ต่อปี* ถือเป็นอัตราที่น่าสนใจสำหรับคอนโดในทำเลปริมณฑลที่เชื่อมต่อกับกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวก
สนใจเยี่ยมชมโครงการ The Origin E22 Station ได้ที่นี่
5. ORIGIN PLUG & PLAY RAMINTRA

คอนโด High-rise ห้องกว้าง พร้อมเข้าอยู่ เพดานสูง 4.2 เมตร ติดรถไฟฟ้าสายสีชมพู MRT สถานีรามอินทรา กม.9 และยังเป็นคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย จากศักยภาพของทำเลและจุดเด่นของโครงการ ทำให้คอนโดแห่งนี้สามารถสร้างอัตราผลตอบแทนจากการเช่า (Gross Rental Yield) ได้ถึง 6% ต่อปี* ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนในปัจจุบันมากเลยทีเดียว
สนใจเยี่ยมชมโครงการ ORIGIN PLUG & PLAY RAMINTRA ได้ที่นี่
*ผลตอบแทนเป็นไปตามและเงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Yield ต่างจาก ROI ไหม?
ต่างกัน แม้ทั้ง Yield และ ROI จะเป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการลงทุน แต่มีวิธีคิดและช่วงเวลาที่ใช้ต่างกัน โดย Yield คือผลตอบแทนจากค่าเช่ารายปีเทียบกับราคาซื้อทรัพย์ ตัวอย่างเช่น หากซื้อคอนโดราคา 3 ล้านบาท แล้วปล่อยเช่าได้เดือนละ 15,000 บาท เท่ากับได้ Yield ประมาณ 6%* ต่อปี
ในขณะที่ ROI หรือ Return on Investment จะวัดผลตอนขายทรัพย์ โดยคิดจากกำไรสุทธิที่ได้หลังหักต้นทุนทั้งหมด เช่น ราคาซื้อ ค่าตกแต่ง ค่าธรรมเนียมและภาษี เทียบกับเงินลงทุนทั้งหมด สรุปง่าย ๆ คือ Yield ใช้ดูรายได้ระหว่างที่ถือทรัพย์ ส่วน ROI ใช้ดูผลตอบแทนสุดท้ายเมื่อขายออกไปแล้ว
Yield เท่าไหร่ถึงน่าลงทุน?
โดยทั่วไป Yield ที่น่าลงทุนสำหรับอสังหาฯ ให้เช่า ควรอยู่ที่ 5 – 8%* ต่อปีขึ้นไป ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับทำเลและประเภททรัพย์ ถ้า Yield ต่ำกว่า 4% ควรพิจารณาว่าโอกาสเติบโตในอนาคตคุ้มไหม และถ้า Yield สูงเกิน 10% ควรเช็กความเสี่ยง เช่น สภาพแวดล้อม หรือลูกค้าเช่าที่ไม่มั่นคง ต้องอย่าลืมว่า ผลตอบแทนสูงอาจมาพร้อมความเสี่ยงที่มากขึ้นเสมอ
ถ้าคอนโด Yield ต่ำควรขายทิ้งไหม?
ไม่จำเป็นต้องรีบขาย ให้ดูภาพรวมก่อนว่า ทำเลยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่ไหม ราคาปรับขึ้นหรือมีโครงการใหม่เกิดขึ้นรอบข้างหรือเปล่า ค่าเช่าที่ได้ยังครอบคลุมภาระผ่อนหรือค่าใช้จ่ายอยู่ไหม เพราะถ้า Yield ต่ำแต่ราคาทรัพย์มีแนวโน้มขึ้น หรือมีโอกาสรีโนเวทเพื่อเพิ่มค่าเช่า อาจยังถือไว้ได้ แต่ถ้ามองไม่เห็นโอกาสแล้ว การขายแล้วโยกเงินไปลงทุนจุดอื่นที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า ก็อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่าในระยะยาว
สรุปบทความ
Yield คือหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต้องรู้และเข้าใจ เพราะเป็นตัวบ่งบอกถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในแต่ละปี โดยสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้แก่ Gross Yield, Net Yield และ Cash-on-Cash Yield ซึ่งมีวิธีคำนวณและความหมายที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ Yield อย่างละเอียดช่วยให้นักลงทุนประเมินความคุ้มค่าของทรัพย์สินที่ถืออยู่หรือที่กำลังจะซื้อได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยหลายอย่าง เช่น ทำเล รูปแบบห้อง สภาพเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ยังส่งผลต่อ Yield โดยตรง นักลงทุนจึงควรมีกลยุทธ์ในการเพิ่ม Yield อย่างเหมาะสม เช่น การตั้งราคาค่าเช่าให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย การตกแต่งห้องให้พร้อมอยู่ หรือเลือกปล่อยเช่าระยะที่สอดคล้องกับพื้นที่ สุดท้ายการเข้าใจและบริหาร Yield อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้คุณสร้างรายได้แบบ Passive Income ได้อย่างยั่งยืนจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์