แชร์

Yield คืออะไร? เข้าใจผลตอบแทนก่อนลงทุน ปล่อยคอนโดเช่าให้คุ้มทุกบาท

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะช่วยสร้างรายได้แบบ Passive Income แล้ว ยังเป็นการเก็บรักษามูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้และเข้าใจคือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Yield) คืออะไร เพื่อให้สามารถประเมินความคุ้มค่าและวางแผนบริหารจัดการให้เกิดผลกำไรสูงสุดในระยะยาว พร้อมวิธีคำนวณและกลยุทธ์ปล่อยคอนโดเช่าให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดกัน ในบทความนี้เลย 

Yield คืออะไร

Yield คืออัตราผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุนปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือก็คือ “ผลตอบแทนที่ได้รับจากค่าเช่า” ต่อปี คิดเป็นหน่วยเปอร์เซนต์ โดย Yield แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

Rental Yield 

เครื่องมือที่ใช้คำนวณในการปล่อยเช่า เป็นรายได้ประเภทค่าเช่า สามารถแบ่งออกได้อีก 3 ประเภท Gross Rental Yield, Net Rental Yield และ Cash-on-Cash Rental Yield

Yield Guarantee 

การการันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าของผู้ประกอบการ สำหรับคนที่สนใจและพึ่งเริ่มลงทุนอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงต้องการสร้าง Passive Income จากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรทำความเข้าใจพื้นฐานของเรื่อง Yield ให้ชัดเจน โดยเฉพาะการคำนวณเปอร์เซ็นต์ Rental Yield เพื่อให้ช่วยให้บริหารและการจัดการเรื่องลงทุนได้ดียิ่งขึ้น 

Gross Yield vs Net Yield ต่างกันอย่างไร

ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า นักลงทุนมักได้ยินคำว่า Yield หรืออัตราผลตอบแทน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความคุ้มค่าของการลงทุน อย่างที่เกริ่นไปเมื่อข้างต้นว่า โดยทั่วไปแล้ว Yield จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Gross Yield (อัตราผลตอบแทนเบื้องต้น) และ Net Yield (อัตราผลตอบแทนสุทธิ) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างสองคำนี้ คือค่าใช้จ่าย โดย Gross Yield จะเป็นการคำนวณผลตอบแทนแบบง่าย ๆ ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ออกไป ในขณะที่ Net Yield จะให้ภาพผลตอบแทนที่แท้จริงมากกว่า เพราะได้นำค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถือครองทรัพย์สินมาหักลบออกไปแล้ว 

จับจุดสำคัญ! วิธีคำนวณ Yield ที่เข้าใจง่ายในไม่กี่ขั้นตอน

วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น (Gross Rental Yield) 

อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น คำนวณได้ง่าย ใช้เพียงแค่ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปีและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมานำมาคำนวณตามสูตรด้านล่าง เพื่อหาผลลัพธ์ตอบแทนเบื้องต้น จากเงินทุนแบบเต็มจำนวนที่ลงทุนไปและคำนวนออกมาเป็นผลตอบแทนเบื้องต้นที่จะได้รับต่อปี 

(ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปี ÷ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมา) x 100 

ยกตัวอย่าง ซื้อคอนโดมาในราคา 10,000,000 บาท ปล่อยเช่าเดือนละ 48,000 บาท และคาดว่าผู้เช่าจะเช่าตลอดสัญญา 12 เดือน 

ดังนั้น ค่าเช่าที่จะได้รับตลอดทั้งปีจะเท่ากับ 48,000 x 12 = 576,000 บาท

นำมาใช้ในสูตรก็จะเป็น อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า = (576,000 ÷ 10,000,000) x 100 = 5.76% ต่อปี 

วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ (Net Rental Yield)

อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ เป็นการคำนวณที่นำเอาค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่าย เช่น ค่าส่วนกลางที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักทุกปี ค่าตกแต่งเสริมความสวยงาม ค่าบำรุงซ่อมแซมจากการใช้งาน เป็นต้น มาคิดคำนวณกับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาตามสูตรด้านล่าง เพื่อหาผลลัพธ์ตอบแทนสุทธิ จากเงินทุนแบบเต็มจำนวนที่ลงทุนไปและหักลบกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมก็จะได้ผลตอบแทนสุทธิที่จะได้รับต่อปี 

(ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ* ÷ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมา) x 100

*ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปีสุทธิ = ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปี – ค่าใช้จ่ายรวมทั้งปี

ยกตัวอย่าง ซื้อคอนโดมาในราคา 10,000,000 บาท ปล่อยเช่าเดือนละ 48,000 บาท และคาดว่าผู้เช่าจะเช่าตลอดสัญญา 12 เดือน 

ดังนั้น ค่าเช่าที่จะได้รับตลอดทั้งปีจะเท่ากับ 48,000 x 12 = 576,000 บาท 

ค่าส่วนกลางที่จะต้องจ่ายตกเดือนละ 2,280 บาท รวมทั้งปีเป็น 2,280 x 12 = 27,360 บาท

นำมาคิดรวมกับ ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ = (576,000 – 27,360) = 548,640 บาท

นำมาใช้ในสูตรก็จะเป็น อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ = (548,640 ÷ 10,000,000) x 100 = 5.49% ต่อปี

วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าจากเงินสดในรอบปี (Cash on Cash Rental Yield)

ตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่คำนวณจาก “เงินสดที่ลงทุนจริง” เทียบกับ “กระแสเงินสดสุทธิที่ได้รับในแต่ละปี” ต่างจาก Yield ทั่วไปที่เทียบกับราคาทรัพย์ทั้งหมด ตัวนี้เน้นเฉพาะเงินที่เราจ่ายออกไปจริง ๆ เท่านั้น เช่น เงินดาวน์ ค่าตกแต่ง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่รวมเงินกู้ จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการวัดว่าผลตอบแทนคุ้มกับเงินสดที่ลงไปหรือไม่

(ค่าเช่าตลอดปี – ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมรายปี) ÷ เงินลงทุน x 100

ยกตัวอย่าง ซื้อคอนโดมาในราคา 10,000,000 บาท ปล่อยเช่าเดือนละ 48,000 บาท และคาดว่าผู้เช่าจะเช่าตลอดสัญญา 12 เดือน นำมาคิดรวมกับ ค่าเช่าตลอดปี = (48,000 x 12) = 576,000 บาท 

มีค่าตกแตงและค่าเฟอร์นิเจอร์อีก 1,000,000 บาท 

ค่าส่วนกลางที่จะต้องจ่ายตกเดือนละ 2,280 บาท รวมทั้งปีเป็น 2,280 x 12 = 27,360 บาท

นำมาคิดรวมกับ ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ = (576,000 – 27,360) = 548,640 บาท 

นำมาใช้ในสูตรก็จะเป็น 548,640 ÷ 10,000,000 x 100 = 5.48%     

ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อ % Yield

อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า (Rental Yield) ไม่ใช่ตัวเลขที่ตายตัว แต่มีความยืดหยุ่นและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อ % Yield สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้  

ปัจจัยด้านกายภาพของทรัพย์สิน (Property Factors)

  • ทำเลที่ตั้ง คอนโดที่ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ เช่น คอนโดใกล้ BTS สายสีเขียว แหล่งงาน คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยหรือศูนย์การค้า จะสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่สูงกว่าปกติ และมีโอกาสปล่อยเช่าได้ไว 
  • ขนาดและการออกแบบ ห้องที่มีฟังก์ชันครบ ขนาดไม่เล็กเกินไปหรือมีวิวดี มักจะดึงดูดผู้เช่าได้มากกว่า 
  • สภาพทรัพย์และอุปกรณ์ภายใน ทรัพย์ที่ตกแต่งพร้อมอยู่ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบและอยู่ในสภาพดี จะมีความได้เปรียบในการตั้งราคาค่าเช่า 

ปัจจัยด้านการตลาดและเศรษฐกิจ (Market & Economic Factors)  

  • ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต ความต้องการเช่าจะเพิ่มขึ้น ทำให้ตั้งค่าเช่าได้สูง 
  • อัตราดอกเบี้ย ดอกเบี้ยมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน หากดอกเบี้ยสูง นักลงทุนอาจต้องการผลตอบแทนจาก Yield ที่สูงขึ้นเช่นกัน 
  • การแข่งขันในตลาด หากมีซัพพลายมากในพื้นที่เดียวกัน อาจทำให้ผู้ปล่อยเช่าต้องลดราคาค่าเช่าเพื่อให้แข่งขันได้ 
  • พฤติกรรมผู้บริโภค แนวโน้มการเช่ามักเปลี่ยนไปตามยุค เช่น คนรุ่นใหม่อาจนิยมเช่าระยะสั้นหรือเน้นทำเลเดินทางสะดวก 

ปัจจัยด้านการเงินและค่าใช้จ่าย (Financial & Expense Factors) 

  • ราคาทรัพย์สิน ราคาซื้อมีผลต่อ % Yield โดยตรง หากซื้อมาในราคาถูก โอกาสที่ Yield จะสูงย่อมมีมากกว่า 
  • ค่าใช้จ่ายรายปี เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าซ่อมบำรุงหรือภาษี หากมีค่าใช้จ่ายสูงจะกด Yield ให้ต่ำลง 
  • ค่าใช้จ่ายในการตกแต่ง ค่าเฟอร์นิเจอร์ แม้จะเพิ่มมูลค่าได้ในบางกรณี แต่ถ้าใช้ต้นทุนสูงเกินไปก็อาจทำให้ระยะเวลาคืนทุนยาวขึ้น  

กลยุทธ์เพิ่ม Yield ให้พุ่ง! ปล่อยเช่าอสังหาฯ ยังไงให้ได้ผลตอบแทนคุ้มสุด 

หากคุณเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และต้องการเพิ่ม Yield คอนโดปล่อยเช่าให้คุ้มค่าสุด มีหลากหลายกลยุทธ์ที่สามารถช่วยให้คุณปล่อยเช่าได้ง่ายขึ้น แถมยังทำกำไรได้ดีในระยะยาว ดังนี้

  • ตั้งราคาค่าเช่าให้เหมาะสมกับทำเลและกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาตลาดในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อดูราคาค่าเช่าที่แข่งขันได้ ไม่แพงจนเกินไปและไม่ต่ำจนขาดทุน พร้อมวิเคราะห์กลุ่มผู้เช่าว่าเป็นใคร เช่น นักศึกษา คนทำงาน หรือครอบครัว เพื่อปรับราคาหรือเงื่อนไขให้เหมาะสม 
  • ปรับปรุงและตกแต่งห้องให้น่าอยู่ ห้องที่ตกแต่งสวย สะอาดและพร้อมเข้าอยู่ มักจะปล่อยเช่าได้เร็วขึ้นและเรียกราคาได้สูงกว่า เช่น เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ให้ครบ หรือตกแต่งในสไตล์ที่ตลาดนิยม เช่น มินิมอลหรือโมเดิร์น เป็นต้น  
  • ใช้ภาพถ่ายและการตลาดที่ดึงดูด ลงประกาศพร้อมภาพถ่ายที่ชัดเจน มุมกว้าง แสงธรรมชาติดีและเขียนคำบรรยายที่โดนใจ เช่น วิวสวยใจกลางเมือง หรือใกล้ BTS เดินแค่ 3 นาที ก็จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้เช่าสนใจมากขึ้น 
  • เลือกปล่อยเช่าแบบระยะสั้นหรือระยะยาวให้เหมาะกับทำเล หากอยู่ในโซนนักท่องเที่ยวหรือแหล่งออฟฟิศ แต่ถ้าทำเลเน้นความสงบหรือเหมาะกับอยู่อาศัยระยะยาว อาจเน้นการหาผู้เช่าประจำเพื่อความมั่นคง   

5 คอนโดทำเลไหนบ้างที่ Yield สูงในปี 2025 นี้?   

1. The Hampton Suites Rayong 

The Hampton Suites Rayong

โครงการนี้ชูจุดเด่นด้านการเป็นคอนโดในรูปแบบ Investment Property ที่มีการบริหารจัดการโดยทีมงานมืออาชีพ เสมือนเป็น Service Residence มาตรฐานโรงแรม ทำเลที่ตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้มีความต้องการเช่าสูงจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ การลงทุนในอสังหาฯ ครั้งนี้สามารถให้ผลตอบแทน (Yield Guarantee) 5 – 9% หรือสูงสุดถึง 12%* นาน 10 ปี* เลยทีเดียว  

สนใจเยี่ยมชมโครงการ The Hampton Suites Rayong ได้ที่นี่

2. So Origin Kata Phuket 

So Origin Kata Phuket

ภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้ตลาดคอนโดปล่อยเช่าได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลหาดกะตะ – ป่าตอง ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว สำหรับ SO Origin Kata Phuket คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2027 ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ใกล้หาดกะตะเพียง 500 เมตร และแนวโน้มตลาดเช่าในภูเก็ตที่แข็งแกร่ง จึงมีการคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้าง Rental Yield ได้สูงถึง 11% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองเห็นโอกาสการเติบโตของเมืองท่องเที่ยวระดับโลก  

สนใจเยี่ยมชมโครงการ SO Origin Kata Phuket ได้ที่นี่ 

3. So Origin Phahol 69 Station 

So Origin Phahol 69 Statio

คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว BTS สถานีสายหยุด Ready to Move บนทำเลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง อยู่ติดถนนพหลโยธิน เพียงแค่ 50 เมตร และสนามบินดอนเมือง ราคาพิเศษเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท* ทำให้สามารถคำนวณ Gross Rental Yield ได้ถึง 6% ต่อปี* ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดีสำหรับคอนโดในแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งมีความต้องการเช่าที่สม่ำเสมอ 

สนใจเยี่ยมชมโครงการ So Origin Phahol 69 Station ได้ที่นี่ 

4. The Origin E22 Station 

The Origin E22 Station

อีกหนึ่งโครงการในแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว สถานีสายลวด เจาะกลุ่มคนทำงานในย่านสมุทรปราการและผู้ที่ต้องการความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ Big C, Robin สมุทรปราการ รวมทั้งโรงพยาบาลและแหล่งงานชั้นนำ ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 1.69 ล้านบาท* Gross Rental Yield ถึง 6% ต่อปี* ถือเป็นอัตราที่น่าสนใจสำหรับคอนโดในทำเลปริมณฑลที่เชื่อมต่อกับกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวก 

สนใจเยี่ยมชมโครงการ The Origin E22 Station ได้ที่นี่

5. ORIGIN PLUG & PLAY RAMINTRA 

ORIGIN PLUG & PLAY RAMINTRA

คอนโด High-rise ห้องกว้าง พร้อมเข้าอยู่ เพดานสูง 4.2 เมตร ติดรถไฟฟ้าสายสีชมพู MRT สถานีรามอินทรา กม.9 และยังเป็นคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย จากศักยภาพของทำเลและจุดเด่นของโครงการ ทำให้คอนโดแห่งนี้สามารถสร้างอัตราผลตอบแทนจากการเช่า (Gross Rental Yield) ได้ถึง 6% ต่อปี* ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนในปัจจุบันมากเลยทีเดียว   

สนใจเยี่ยมชมโครงการ ORIGIN PLUG & PLAY RAMINTRA ได้ที่นี่

*ผลตอบแทนเป็นไปตามและเงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Yield ต่างจาก ROI ไหม?

ต่างกัน แม้ทั้ง Yield และ ROI จะเป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการลงทุน แต่มีวิธีคิดและช่วงเวลาที่ใช้ต่างกัน โดย Yield คือผลตอบแทนจากค่าเช่ารายปีเทียบกับราคาซื้อทรัพย์ ตัวอย่างเช่น หากซื้อคอนโดราคา 3 ล้านบาท แล้วปล่อยเช่าได้เดือนละ 15,000 บาท เท่ากับได้ Yield ประมาณ 6%* ต่อปี 

ในขณะที่ ROI หรือ Return on Investment จะวัดผลตอนขายทรัพย์ โดยคิดจากกำไรสุทธิที่ได้หลังหักต้นทุนทั้งหมด เช่น ราคาซื้อ ค่าตกแต่ง ค่าธรรมเนียมและภาษี เทียบกับเงินลงทุนทั้งหมด สรุปง่าย ๆ คือ Yield ใช้ดูรายได้ระหว่างที่ถือทรัพย์ ส่วน ROI ใช้ดูผลตอบแทนสุดท้ายเมื่อขายออกไปแล้ว

โดยทั่วไป Yield ที่น่าลงทุนสำหรับอสังหาฯ ให้เช่า ควรอยู่ที่ 5 – 8%* ต่อปีขึ้นไป ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับทำเลและประเภททรัพย์ ถ้า Yield ต่ำกว่า 4% ควรพิจารณาว่าโอกาสเติบโตในอนาคตคุ้มไหม และถ้า Yield สูงเกิน 10% ควรเช็กความเสี่ยง เช่น สภาพแวดล้อม หรือลูกค้าเช่าที่ไม่มั่นคง ต้องอย่าลืมว่า ผลตอบแทนสูงอาจมาพร้อมความเสี่ยงที่มากขึ้นเสมอ 

ไม่จำเป็นต้องรีบขาย ให้ดูภาพรวมก่อนว่า ทำเลยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่ไหม ราคาปรับขึ้นหรือมีโครงการใหม่เกิดขึ้นรอบข้างหรือเปล่า ค่าเช่าที่ได้ยังครอบคลุมภาระผ่อนหรือค่าใช้จ่ายอยู่ไหม เพราะถ้า Yield ต่ำแต่ราคาทรัพย์มีแนวโน้มขึ้น หรือมีโอกาสรีโนเวทเพื่อเพิ่มค่าเช่า อาจยังถือไว้ได้ แต่ถ้ามองไม่เห็นโอกาสแล้ว การขายแล้วโยกเงินไปลงทุนจุดอื่นที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า ก็อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่าในระยะยาว 

สรุปบทความ 

Yield คือหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต้องรู้และเข้าใจ เพราะเป็นตัวบ่งบอกถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในแต่ละปี โดยสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้แก่ Gross Yield, Net Yield และ Cash-on-Cash Yield ซึ่งมีวิธีคำนวณและความหมายที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ Yield อย่างละเอียดช่วยให้นักลงทุนประเมินความคุ้มค่าของทรัพย์สินที่ถืออยู่หรือที่กำลังจะซื้อได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยหลายอย่าง เช่น ทำเล รูปแบบห้อง สภาพเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ยังส่งผลต่อ Yield โดยตรง นักลงทุนจึงควรมีกลยุทธ์ในการเพิ่ม Yield อย่างเหมาะสม เช่น การตั้งราคาค่าเช่าให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย การตกแต่งห้องให้พร้อมอยู่ หรือเลือกปล่อยเช่าระยะที่สอดคล้องกับพื้นที่ สุดท้ายการเข้าใจและบริหาร Yield อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้คุณสร้างรายได้แบบ Passive Income ได้อย่างยั่งยืนจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์  

แท็กที่เกี่ยวข้อง